รู้หรือไม่ว่าเพชรที่มีราคาสูง คุณภาพดี มักมีการเจียระไนอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม มีเหลี่ยมที่สวยสมมาตร มีจำนวนเหลี่ยมที่พอดี จะช่วยให้เพชรเล่นไฟได้ดี มีประกายวาว แต่หากเลือกเหลี่ยมไม่ดีพอก็อาจเสี่ยงต่อการขาดทุนหรือทำกำไรได้ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ วันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับเหลี่ยมเพชรแต่ละชนิดกันครับ
เหลี่ยมเพชรคืออะไร
เป็นการเจียระไนเพชรดิบให้มีหน้าเพชรที่เรียงตัวสวยงาม มีความสมมาตรเท่ากันทุกส่วน ซึ่งจะช่วยให้เพชรเล่นไฟได้ดี มีประกายระยิบระยิบ แม้ว่าจะเป็นเพชรรูปทรงเดียวกันแต่ช่างสามารถเจียระไนเหลี่ยมเพชรให้แตกต่างกันได้ เหลี่ยมมีความสำคัญไม่แพ้กับองค์ประกอบอื่นเลย ต่อให้คุณมีเพชรไร้สีระดับ (Flawless) แต่หากเจียระไนไม่สมมาตรพอก็อาจเล่นไฟได้ไม่ดีเท่าที่ควร ราคาขายของเพชรเม็ดนั้นก็จะลดลงด้วยเช่นกัน เหลี่ยมเพชรจะดีได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพชรดิบ อุปกรณ์สำหรับเจียระไน วิธีเจียระไน รวมถึงเทคนิคเฉพาะของช่างแต่ละคน/แหล่งอีกด้วย โดยเหลี่ยมเพชรที่ดีจะต้องมี 3 ส่วนนี้ที่สมบูรณ์แบบ ได้แก่ การเจียระไน, ความสมมาตร และความเงาของเพชร สำหรับเทคนิคการเจียระไนในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่ เหลี่ยมเพชรขั้นบันได (Step Cut) และเหลี่ยมเพชรเกสร (Brilliant Cut) โดยเหลี่ยมเพชรเกสรเป็นเทคนิคยอดนิยมที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน
วิธีเจียระไนเหลี่ยมเพชรมีกี่แบบ อะไรบ้าง
1. เหลี่ยมเพชรขั้นบันได (Step Cut)
เป็นเทคนิคการเจียระไนที่ทำให้เหลี่ยมเพชรเรียงตัวเป็นเส้นยาวขนานเป็นขั้นไล่ลงไปจากหน้าเพชรไปยังขอบเพชร มีจำนวนเหลี่ยมไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับคุณภาพเพชรดิบที่ใช้ เทคนิคนี้จะช่วยเหลี่ยมเพชรมีเนื้อใสสะอาดมากขึ้น แต่อาจเห็นตำหนิได้ง่ายช่างจึงต้องเลือกเพชรดิบให้ดี สำหรับเหลี่ยมเพชรที่เจียระไนด้วยเทคนิคแบบนี้มีหลายแบบ ยกตัวอย่างเช่น เพชรทรงมรกต เพชรทรงแอชเชอร์ (Asscher Cut) เพชร Royal Asscher Cut และเพชรทรงบาเก็ต (Baguette Cut)
2. เหลี่ยมเพชรเกสร (Brilliant Cut)
เป็นเทคนิคการเจียระไนที่พัฒนาให้มีหน้าเจียระไนมากถึง 58 หน้า ถือเป็นเหลี่ยมเพชรที่นิยมใช้ในปัจจุบันเนื่องจากเหลี่ยมเพชรจะช่วยเสริมประกายให้มีความเป็นสีรุ้งและเห็นเหลี่ยมเพชรเรียงตัวได้อย่างสมมาตร ช่วยพรางตำหนิได้เป็นอย่างดี อีกทั้งช่วยลดการสูญเสียเนื้อเพชรได้มากกว่าเหลี่ยมเพชรขั้นบันได สำหรับเหลี่ยมทรงเพชรที่เจียระไนด้วยเทคนิคแบบนี้มีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นเพชรทรงกลม (Round Cut) เพชรทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส (Princess Cut) เพชรทรงวงรี/ไข่ (Oval Cut) และเพชรทรงหยดน้ำ (Pear Cut)
เหลี่ยมเพชรมีกี่แบบ อะไรบ้าง
1. เหลี่ยมเพชรทรงกลม (Round Cut)
เป็นเหลี่ยมเพชรที่พบได้บ่อยที่สุดในบรรดาเหลี่ยมเพชรทั้งหมด เจียระไนด้วยเทคนิค Brilliant Cut มีหน้าเพชรอยู่ที่ 68 หน้า มีเหลี่ยมมาตรฐานอยู่ที่ 58 เหลี่ยม ช่วยให้เพชรเล่นประกายไฟแวววาวได้เป็นอย่างดี เพียงแต่เหลี่ยมเพชรทรงกลมที่ดีจะต้องมีทั้งความสมมาตร มีเหลี่ยมเพชรขนาดเท่ากับขอบเพชร ไม่หนาหรือบางจนเกินไป อีกทั้งจะต้องมีการขัดเงาที่ดีอีกด้วย
2. เหลี่ยมเพชรทรงอโศกมหาราช (Ashoka Cut)
เป็นเหลี่ยมเพชรที่พัฒนามาจาก Cushion แม้จะมีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าและมีความโค้งมุมเหมือนกัน แต่เหลี่ยมเพชรแบบนี้จะมีเหลี่ยมเพิ่มขึ้นเป็น 62 เหลี่ยม เสริมให้เพชรดูเม็ดใหญ่กว่าปกติ แม้จะเป็นเพชรที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความสวยงามเป็นเลิศและหายากมากๆ แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ 2 อย่าง ได้แก่ จำนวนเพชรดิบที่เจียระไนเหลี่ยมนี้ได้มีเพียง 10% เท่านั้น อีกทั้งช่างเจียระไนจะต้องมีความชำนาญสูงและใช้เวลาในการเจียระไนที่ค่อนข้างนานประมาณ 6 เดือนขึ้นไป
3. เหลี่ยมเพชร Asprey Cut
เป็นเหลี่ยมเพชรที่มีรูปทรงคล้าย Cushion Cut แต่มีความประณีต มีขอบมนกว่า และมีตัวอักษร A อยู่บริเวณขอบ มีน้ำหนักตั้งแต่ 0.5 กะรัตขึ้นไป เหลี่ยมเพชรชนิดนี้มีเหลี่ยม 61 เหลี่ยม ส่วนน้ำเพชรที่ใช้จะเป็นระดับ D-G ส่วนระดับความสะอาดจะอยู่ที่ Flawless ไปจนถึง VS2 ส่งผลให้การกระจายแสงมีความเพอร์เฟกต์ไร้ที่ติ เพียงแต่การเจียระไนเพชรแบบนี้จะต้องเป็นงานแฮนด์เมดเท่านั้น จึงทำให้เหลี่ยมเพชรแบบนี้มีราคาสูง
4. เหลี่ยมเพชร Crisscut
เป็นเหลี่ยมเพชรที่เกิดจากอุบัติเหตุในการเจียระไนเพชรที่ทำให้มีดเจียรเข้าไปในเนื้อเพชรและทำให้เกิดพื้นผิวพิเศษที่จะทำให้เหลี่ยมเพชรมีสี่เหลี่ยมคาบเกี่ยวกับกากบาท ตัวเพชรมีเหลี่ยมทั้งหมด 77 เหลี่ยม ด้วยเทคนิคพิเศษนี้ที่ช่วยเสริมให้เพชรดูมีมิติ มีประกายเวลาสะท้อนแสงที่แปลกตากว่าเหลี่ยมเพชรแบบอื่น
5. เหลี่ยมเพชร Royal Asscher Cut
เป็นเหลี่ยมเพชรที่พัฒนาต่อจากเพชรทรงแอชเชอร์ จากเดิมที่มีเหลี่ยมทั้งหมด 58 ขึ้นมาเป็น 74 เหลี่ยม มีการสร้างชั้นเหลี่ยมเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั้นเพื่อให้เหลี่ยมเพชรมีมูลค่าสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีหน้าตัดขนาดเล็กลงแต่มีความสมมาตรมากขึ้น ซึ่งช่วยให้เกิดประกายเพชร (Brilliancy) ที่โดดเด่นกว่าเหลี่ยมเพชรแบบอื่น เหลี่ยมเพชรประเภทนี้ถือว่าหายากมากเนื่องจากมีช่างเจียระไนน้อยคนที่จะเจียระไนออกมาได้ จึงมีราคาสูงกว่าเหลี่ยมเพชรหลายรูปแบบ
6. เหลี่ยมเพชร Lily Cut
เป็นเหลี่ยมเพชรที่มีเหลี่ยมรูปร่างคล้ายใบโคลเวอร์ 4 แฉก นิยมใช้ในงานเพชรของชนชั้นสูง มีเหลี่ยมอยู่ที่ 65 เหลี่ยม ตัวเหลี่ยมปรับเปลี่ยนได้ 2 แบบ ได้แก่ ทรงดอกไม้กลีบกลมมนและกลีบแหลม เพียงแต่เหลี่ยมเพชรชนิดนี้มีข้อจำกัดตรงที่จะต้องเสียเนื้อเพชรในการเจียระไนเป็นจำนวนมากถึง 50% และมีราคาสูงกว่าเพชรทั่วไปหลายเท่าตัว
7. เหลี่ยมเพชร Jubilee Cut
เป็นเหลี่ยมเพชรที่พบได้ไม่บ่อยนัก มีจำนวนเหลี่ยมทั้งหมด 88 เหลี่ยม มีจุดเด่นตรงที่เพชรไม่มีหน้าตัดแนวนอน ไม่มีก้นเพชร ทรงไม่ลึกมาก ส่วนหัวของเพชรจะเจียให้เป็นเหลี่ยม 8 เหลี่ยม ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดจึงช่วยให้เพชรส่องประกายได้แวววาวมากแถมยังหายากมากอีกด้วย
8. เหลี่ยมเพชรทรง Bead Cut
เป็นเหลี่ยมเพชรที่ผ่านการเจียระไนให้มีลักษณะคล้ายลูกไฟดิสโก้ ตัวเหลี่ยมไม่มีหน้าตัดและไม่มีก้นเพชร เพื่อให้มีเหลี่ยมที่แตกต่างจากเหลี่ยมเพชรแบบอื่นพอสมควร และที่สำคัญเหลี่ยมเพชรแบบนี้ยังมีการเจาะรูไว้ตรงกลางไว้เพื่อให้ด้ายร้อยเข้าไปและนำมาทำเป็นลูกปัดเพชร โดยรูที่ทำจะมีขนาดเล็กมากเพื่อไม่ให้เพชรดูหมองเกินไป
9. เหลี่ยมเพชร 88 Cut (Eighty Eight Cut)
เป็นเพชรที่ถูกพัฒนามาจากแนวคิดเรื่องเลข 8 ซึ่งเป็นเลขมงคลของชาวเอเชีย ช่วยดึงดูโชคลาภและความโชคดีในด้านต่างๆ เสริมอำนาจให้แก่ผู้ที่สวมใส่ โดยเหลี่ยมเพชรจะมีรูปทรงแบบ 8 เหลี่ยม มีด้าน 88 ด้าน นอกจากจะสอดคล้องกับความเชื่อของชาวเอเชียแล้ว การเจียระไนของเหลี่ยมเพชรประเภทนี้จะช่วยให้เล่นไฟเป็นประกายที่แตกต่างไปจากเหลี่ยมเพชรทรงอื่น แต่ด้วยความที่เหลี่ยมเพชรประเภทนี้จะต้องใช้เทคนิคขั้นสูงจากช่างเจียระไนที่มากประสบการณ์ จึงทำให้ผลิตเหลี่ยมเพชรประเภทนี้ออกมาได้ยาก มีปริมาณน้อย ราคาของเหลี่ยมประเภทนี้จึงสูงกว่าเหลี่ยมเพชรหลายๆ แบบ
เหลี่ยมเพชรแบบไหนหายาก
สำหรับเหลี่ยมเพชรที่พบได้ยากมีหลายแบบ ได้แก่ เหลี่ยมเพชร Ashoka Cut, Asprey Cut, Eighty-Eight Cut (88 เหลี่ยม), Crisscut, Cushion, Jubilee และ Royal Asscher Cut ด้วยความที่เหลี่ยมเพชรเหล่านี้เจียระไนได้ยากมากขึ้นอยู่กับคุณภาพของเพชรดิบและความชำนาญของช่างเจียระไนด้วยครับ
เนื่องจากเหลี่ยมเพชรในปัจจุบันมีหลากหลายแบบ หากคุณต้องการเหลี่ยมเพชรที่ดีไว้เก้งกำไรจริงๆ แนะนำให้ทำการบ้านในส่วนนี้ให้ดีนะคะ เพราะถ้าเลือกผิดแล้วก็อาจเสี่ยงต่อการทำกำไรได้ไม่เป็นไปตามคาด หรือหากเลือกร้านซื้อขายเพชรไม่ดี ร้านไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจเสี่ยงไม่แพ้กันเลยครับ
บทความที่น่าสนใจ
- กะรัตเพชรคืออะไร เลือกอย่างไรให้ได้เพชรน้ำงาม
- ความสะอาดของเพชรมีกี่แบบ แบบไหนสะอาดที่สุด ราคาดีที่สุด
- เพชรแท้ราคาลดลง ยังเหมาะกับการลงทุนอยู่มั้ย หรือเพชรสังเคราะห์ดีกว่า
ซื้อขายเพชรที่ไหนดี ทำไมต้อง BKK DIAMOND
สำหรับใครที่กำลังมองหาร้านรับซื้อเพชรที่ได้มาตรฐานและมีชื่อเสียงเป็นเวลานาน ทางเรา BKK DIAMOND มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้บริการท่านตลอด 24 ช.ม. เรามีหน้าร้านหลายสาขาให้ท่านเลือกใช้บริการ มีเครื่องตรวจสอบทองซึ่งจะช่วยให้คุณขายได้ราคาเต็มมูลค่า เพราะเราให้ราคาซื้อ-ขายตามมาตรฐานการรับซื้อทองโดยอ้างอิงจากราคาทองรายวันสมาคม ทั้งนี้เรากล้าการันตีเลยว่าทางเราไม่มีการกดราคาทอง หรือเครื่องประดับทองของคุณแน่นอน นอกจากนี้เรายังมีช่องทางการส่งต่อเครื่องประดับทองของคุณถึงกลุ่มลูกค้า END USER โดยตรงไม่ผ่านคนกลาง ดังนั้นจึงมั่นใจได้เลยว่าคุณจะได้ราคารับซื้อสูงสุดตามราคาตลาดแน่นอน
หากใครไม่สะดวกเดินทางมาหน้าร้านด้วยตัวเอง ทางเรามีบริการ EXCLUSIVE PRIVATE หรือบริการรับซื้อถึงที่โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ มั่นใจ ปลอดภัย เพราะพนักงานทุกคนผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และได้รับวัคซีนโควิด-19 เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้คุณสามารถซื้อ-ขายได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องโควิด เพียงแค่เลือกวันเวลาที่คุณสะดวกและนัดหมายล่วงหน้าเราได้ตลอด 24 ชม. ทั้งนี้ก็เพื่อให้ทุกท่านมีความสุขทุกครั้งที่ได้ใช้บริการกับเรา