สำหรับใครที่ต้องการนำทองไปขายให้ได้ราคาสูง อาจสงสัยว่าทองแบบไหนที่ขายแล้วจะได้ราคาดีสมกับที่เราลงทุนไป ถ้าหากไม่รู้หรือไม่แน่ใจ เราขอแนะนำให้อ่านบทความนี้ก่อนตัดสินใจครับ
ลักษณะของทองที่ร้านรับซื้อทองชื่นชอบ
1. ทองที่มีน้ำหนักครบ
ในปัจจุบันน้ำหนักของทองคำแบ่งเป็น 2 ขนาด ได้แก่ บาท และ สลึง โดยทอง 1 บาทแบ่งเป็น 4 สลึง ในส่วนของทองแท่งจะมีน้ำหนักประมาณ 15.244 กรัม และทองรูปพรรณ 1 บาท จะมีน้ำหนักประมาณ 15.16 กรัม หากต้องการซื้อทอง 2-3 บาท ให้เอาเงินบาทคูณด้วย 2 หรือ 3 แต่หากน้ำหนักทองมีเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของบาท เราจะเรียกว่า 2 สลึง โดยส่วนใหญ่จะวางจำหน่ายเป็นทองรูปพรรณ ได้แก่ สร้อยคอ, จี้ และกำไล โดยมีน้ำหนักของทองคำแท่ง 2 สลึง มีน้ำหนักประมาณ 7.622 กรัม และทองรูปพรรณมีน้ำหนักประมาณ 7.58 กรัม หากทองของคุณไม่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วงจนน้ำหนักลดลงแล้วล่ะก็ เวลาขายต่อก็ไม่มีปัญหาเรื่องราคาลดลงฮวบฮาบแน่นอน
2. ทองที่มีเปอร์เซ็นต์เต็ม
ทองโดยทั่วไปจะมีเปอร์เซ็นต์อยู่ 2 แบบ ได้แก่ ทอง 99.9% และทอง 96.5% ซึ่งเป็นทองมาตรฐานในไทย หลักการง่ายๆ ในการซื้อขายทองจะคิดมูลค่าตามเปอร์เซ็นต์ทอง ยิ่งมีเปอร์เซ็นต์สูงราคาก็ยิ่งเพิ่ม ทั้งนี้ทางร้านค้าจะตรวจสอบเปอร์เซ็นต์ทองก่อนตีราคา ถ้าเป็นทองคำแท่งจะปั๊มเปอร์เซ็นต์ไว้ที่ด้านหน้าของทองแท่ง ส่วนทองรูปพรรณ ทางร้านจะตีตราเปอร์เซ็นต์ทองเอาไว้ตามข้อหรือเนื้อแหวนด้านใน หากทองที่เรานำมาขายกับทางร้านมีเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่า 99.9% และ 96.5% บางร้านอาจไม่รับซื้อทองเลยก็ได้ ในกรณีที่ต้องการขายทองรูปพรรณ แนะนำให้ขายกับร้านที่ซื้อมาจะดีที่สุด เนื่องจากราคาอาจตกลงไม่มากหากทองถูกนำไปใช้งาน
3. ทองมีโลโก้ร้านชัดเจน
เนื่องจากร้านทองทั่วไปจะมีโลโก้ร้านชัดเจน ทางร้านจึงกล้ารับซื้อคืนได้โดยที่ไม่ต้องตรวจสอบว่าเป็นทองแท้หรือไม่ หลักการซื้อคืนนั้นทางร้านจะใช้เกณฑ์การรับซื้อทองคืนโดยยึดเกณฑ์จาก สคบ. (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) ทางร้านจะรับซื้อทองรูปพรรณโดยหักไม่เกิน 5% จากราคารับซื้อคืนทองคำแท่ง ณ วันที่สมาคมค้าทองคำประกาศไว้ ส่วน 5% ที่กล่าวมานี้ใช้เฉพาะกรณีขายคืนร้านทองร้านเดิมเท่านั้น หากคุณนำทองไปขายคืนร้านทองคนละร้าน ทางร้านที่รับซื้อจะหักเปอร์เซ็นต์มากกว่านี้ได้ ทำให้ราคาขายแตกต่างกันเล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคล หากคุณต้องไปร้านเดิมที่อยู่ไกลจากที่อยู่ปัจจุบันของคุณ อาจต้องเสียค่าเดินทางด้วย ดังนั้นคำนวณให้ดีว่าขายที่ร้านเดิมหรือร้านอื่นคุ้มกว่า
4. ทองที่ไม่มีตำหนิ
หากพูดถึงทองที่มีโอกาสมีตำหนิน้อยอย่างทองคำแท่งจะสามารถขายคืนร้านทองได้ในราคาที่สมาคมค้าทองคำประกาศเอาไว้ ณ วันนั้น แต่ในทางกลับกัน หากเป็นทองรูปพรรณที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก โดยเฉพาะผู้ที่นำมาใส่ตลอดเวลา จึงมีโอกาสที่ทองจะมีตำหนิอันเกิดมาจากเหงื่อไคล, สารเคมีในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และเกิดรอยขีดข่วนจากการสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ทำให้ราคาขายของทองรูปพรรณลดลงมาก หากเทียบกับราคาที่ซื้อมา
5. ทองแท้
แน่นอนที่สุดว่าร้านทองทุกร้านชื่นชอบทองแท้อยู่แล้ว เพราะการรับซื้อทองปลอมนั้นมีแต่เสียกับเสีย นอกจากจะนำไปขายไม่ได้ราคาแล้ว หากลูกค้าจับได้ว่าทางร้านขายทองปลอมและนำไปบอกต่อ อาจลดความน่าเชื่อถือของร้านด้วย นอกจากนี้หากทางร้านมีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตรวจสอบได้โดยที่เนื้อทองไม่เสียหาย จะช่วยให้ลูกค้าได้รับราคาทองแบบเต็ม ๆ ไม่ต้องเสียค่าเผื่อเนื้อทองเสียหาย เรียกได้ว่าอุ่นใจทั้งทางร้านเองและลูกค้าด้วยครับ
ทำไมต้อง BKK Diamond
ด้วยความสามารถในการตรวจสอบทองของ GOLDSCOPE SD 520 ที่ประเมินมูลค่าของทองที่นำมาขายได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากวิเคราะห์การเรืองแสงด้วยรังสีเอ็กซ์โดยที่เนื้อทองไม่เสียหายแม้แต่น้อย ทำให้เราจึงกล้ารับซื้อทองทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่ง, ทองรูปพรรณ, ทองใหม่, ทองเก่า นอกจากนี้เรายังกล้าให้ราคาสูงสุดได้เนื่องจากไม่ต้องหักเปอร์เซ็นต์เผื่อกันตีราคาพลาด โดยราคาที่เรากล้าจ่ายนั้นจะอ้างอิงกับราคาทองรายวันสมาคม ณ วันนั้น คุณสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ของสมาคมค้าทองคำได้ที่นี่ครับ หากทางร้านตรวจสอบทองเสร็จแล้วสามารถรับเงินสดกลับบ้านได้ทันที ไม่ต้องรอคิวหรือตีเช็คแต่อย่างใด
สำหรับใครที่กำลังมองหาร้านรับซื้อทองที่มีมาตรฐานและมีชื่อเสียงเป็นเวลานาน รวมถึงมีหน้าร้านหลายสาขาให้ท่านเลือกใช้บริการ ทางเรา BKK DIAMOND มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้บริการท่านตลอด 24 ช.ม. เพื่อให้ท่านได้ราคาที่ดีและตรงกับความต้องการของตลาดที่สุด นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับทอง, เงิน, นาก, นาฬิกาแบรนด์และสินค้าอื่น ๆ ให้ท่านเลือกมากมาย รวมถึงช่องทางติดต่อที่หลากหลายเพื่อให้ทุกท่านมีความสุขทุกครั้งที่ได้ใช้บริการกับเรา